การประเมินหลักสูตร
บทที่ 1
การประเมินหลักสูตร
ความหมายของการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศตลอดจนกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อนำมาตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรนั้น นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตรไว้ต่างๆ กันดังนี้คือกู๊ด (Good, 1973, p. 209; อ้างถึงใน สุนีย์ ไพรี, 2548), หน้า 50) ให้ความหมายการประเมินหลักสูตร คือ การประเมินผลของกิจกรรมการเรียนภายในขอบข่ายของการสอนที่เน้นเฉพาะจุดประสงค์ของการตัดสินใจในความถูกต้องของจุดมุ่งหมาย ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของเนื้อหา และผลสัมฤทธิ์ของวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในการวางแผนการจัดโครงการต่อเนื่องและการหมุนเวียนของกิจกรรมโครงการต่าง ๆ ที่จะจัดให้มีขึ้นซึ่งสอดคล้องกับ (สุนีย์ ไพรี, 2548, หน้า 50) ที่กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรคือกระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศ เพื่อใช้ในการพิจารณาว่าหลักสูตรนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดเมื่อนำไปใช้แล้วจะบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ มีข้อดีข้อบกพร่องอะไรบ้างที่ต้องแก้ไขปรับปรุง เพื่อนำผลที่ได้มาใช้เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจหาทางเลือกที่ดีกว่าต่อไป
ศิริชัย กาญจนวาสี (2550, หน้า 28) และ ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539, หน้า 44) ให้ความหมายการประเมินหลักสูตรที่สอดคล้องกับ สงัด อุทรานันท์ (2532, หน้า 37) และสุนีย์ ภู่พันธ์ (2546, หน้า 249) ว่าการประเมินหลักสูตรคือกระบวนการในการพิจารณาตัดสินคุณค่าของหลักสูตรว่าหลักสูตรนั้นๆ มีประสิทธิภาพแค่ไหน เมื่อนำไปใช้แล้วบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ ข้อมูลที่ได้จากการประเมินหลักสูตรจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณค่าสูงขึ้น อันจะเป็นผลในการนำหลักสูตรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
สันต์ ธรรมบำรุง (2527, หน้า 138-139) ให้ความหมายการประเมินหลักสูตรสอดคล้องกันว่าเป็นการศึกษาส่วนประกอบของหลักสูตร เช่น หลักการ จุดหมาย โครงสร้าง จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาวิชา กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดผล โดยพิจารณาว่าส่วนประกอบเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันหรือไม่มากน้อยเพียงใด
จากความหมายของการประเมินหลักสูตรที่ได้กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการตัดสินใจ เพื่อหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น และพิจารณาว่าองค์ประกอบของหลักสูตรมีความสอดคล้องหรือมีความสัมพันธ์กันมากน้อยเพียงใด หรือเพื่อตัดสินคุณค่าของหลักสูตรว่าหลักสูตรนั้นมีประสิทธิภาพตรงตามความมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่อย่างไร โดยเปรียบเทียบผลที่ได้จากการประเมินกับเกณฑ์ที่กำหนด
จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรเป็นขั้นตอนหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตร มีจุดมุ่งหมายของการ
ประเมินหลักสูตรที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้ ดังนี้
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537, หน้า 218-219) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1) เพื่อหาคุณค่าของหลักสูตรว่าสามารถตอบสนองตามวัตถุประสงค์ที่หลักสูตรนั้นต้องการหรือไม่ 2) เพื่อตัดสินว่าเค้าโครงและรูปแบบระบบของหลักสูตรรวมทั้งวัสดุประกอบหลักสูตร และการบริหารและบริการหลักสูตรเป็นไปในทางที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ และ 3) เพื่อวัดผลดูว่าผลผลิตคือผู้เรียนมีลักษณะที่พึงประสงค์ เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่เพียงใด
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539, หน้า 192-193) และศักดิ์ศรี ปาณะกุล (2545, หน้า 39) กล่าวสอดคล้องกันว่าการประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายสำคัญคล้ายคลึงกันดังนี้ 1) เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องที่พบในองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร การประเมินผลในลักษณะนี้มักจะดำเนินในช่วงที่การพัฒนาหลักสูตรยังคงดำเนินการอยู่ เพื่อพิจารณาว่าองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร เช่น จุดหมาย โครงสร้าง เนื้อหา การวัดผล ฯลฯ มีความสอดคล้องเหมาะสมหรือไม่ สามารถนำมาปฏิบัติในการนำหลักสูตรไปทดลองใช้หรือในขณะที่การใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนกำลังดำเนินอยู่ได้มากน้อยเพียงใดได้ผลเพียงใด และมีปัญหาอุปสรรคอะไร จะได้เป็นประโยชน์แก่พัฒนาหลักสูตรและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรให้มีคุณภาพดีขึ้นได้ทันท่วงที 2) เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตร การนิเทศกำกับดูแล และการจัดกระบวนการการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การประเมินผลในลักษณะนี้จะดำเนินการในขณะที่มีการนำหลักสูตรไปใช้ จะได้ช่วยปรับปรุงหลักสูตรให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ 3) เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารว่าควรใช้หลักสูตรต่อไปหรือควรยกเลิก ควรใช้หลักสูตรเพียงบางส่วน หรือยกเลิกทั้งหมดการประเมินผลในลักษณะนี้จะดำเนินหลังจากที่ใช้หลักสูตรไปแล้วระยะหนึ่ง แล้วจึงประเมินเพื่อสรุปผลการตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่ดี บรรลุตามเป้าหมายที่หลักสูตรกำหนดไว้มากน้อยเพียงใด สนองความต้องการของสังคมเพียงใดและเหมาะสมกับการนำไปใช้ต่อไปหรือไม่ และ 4) เพื่อต้องการทราบคุณภาพของผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตของหลักสูตรว่า มีการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมไปตามความมุ่งหวังของหลักสูตร หลังจากผ่านกระบวนการมาแล้วหรือไม่อย่างไร การประเมินผลในลักษณะนี้จะดำเนินการในขณะที่มีการนำหลักสูตรไปใช้หรือหลังจากการที่ใช้
หลักสูตรไปแล้วระยะหนึ่งก็ได้
สุนีย์ ภู่พันธ์ (2546, หน้า 250-251) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ 1) เพื่อหาคุณค่าของหลักสูตรนั้นโดยดูว่าหลักสูตรที่จัดทำขึ้นนั้นสามารถสนองวัตถุประสงค์ที่หลักสูตรนั้นต้องการหรือไม่ สนองความต้องการของผู้เรียนและสังคมอย่างไร 2) เพื่ออธิบายและพิจารณาว่าลักษณะของส่วนประกอบต่างๆ ของหลักสูตรในแง่ต่างๆ เช่น หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนและการวัดผลว่าสอดคล้องกันหรือไม่หรือสนองความต้องการหรือไม่ 3) เพื่อตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่ดีเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับการนำไปใช้ มีข้อบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง การประเมินผลในลักษณะนี้มักจะดำเนินไปในช่วงที่การพัฒนาหลักสูตรยังคงดำเนินการอยู่เพื่อที่จะพิจารณาว่าองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร เช่น จุดหมาย โครงสร้างเนื้อหา การวัดผล ฯลฯ มีความสอดคล้องและเหมาะสมหรือไม่ สามารถนำมาปฏิบัติในช่วงการนำหลักสูตรไปทดลองใช้หรือในขณะที่การใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนกำลังดำเนินอยู่ได้มากน้อยเพียงใดได้ผลเพียงใด และมีปัญหาอุปสรรคอะไร เป็นประโยชน์แก่นักพัฒนาหลักสูตรและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรให้มีคุณภาพดีขึ้นได้ทันท่วงที 4) เพื่อตัดสินว่าการบริหารงานด้านวิชาการและบริหารงานด้านหลักสูตรเป็นไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพื่อหาทางแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ให้มีประสิทธิภาพ 5) เพื่อติดตามผลผลิตจากหลักสูตรคือผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังจากการผ่านกระบวนการทางการศึกษามาแล้วตามหลักสูตรว่าเป็นไปตามความมุ่งหวังหรือไม่ 6) เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องที่พบในองค์ประกอบต่างๆ ในหลักสูตร 7) เพื่อช่วยในการตัดสินว่าควรใช้หลักสูตรต่อไปหรือควรปรับปรุงพัฒนาในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อยกเลิกการใช้หลักสูตรนั้นหมด การประเมินผลในลักษณะนี้จะดำเนินการหลังจากที่ใช้หลักสูตรไปแล้วระยะหนึ่ง แล้วจึงประเมินเพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่ดี บรรลุตามเป้าหมายที่หลักสูตรกำหนดไว้มากน้อยเพียงใด สนองความต้องการของสังคมเพียงใด และเหมาะสมกับการนำไปใช้ต่อไปหรือไม่
อาภาภรณ์ รักความสุข (2546, หน้า 32) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ 1) เพื่อพิจารณาว่าส่วนประกอบต่างๆ ของหลักสูตร ได้แก่ จุดมุ่งหมาย เนื้อหา สาระในวิชาการเรียนการสอน สื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน การวัดและประเมินผล มีความสอดคล้องกันและตอบสนองความต้องการของผู้เรียนมากน้อยเพียงใด 2) เพื่อพิจารณาคุณค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรและหาแนวทางแก้ไขข้อบกพร่อง 3) เพื่อตัดสินหาทางเลือกในการปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับท้องถิ่น 4) เพื่อติดตามผลผลิตของหลักสูตรคือ ผู้เรียนมีความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตรงตามเป้าหมายของหลักสูตรเพียงใด
วราภรณ์ แผ่นทอง (2548, หน้า 48) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรทั้งด้านจุดมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน วิธีการวัดและประเมินผลว่ามีความสอดคล้องและสนองต่อความต้องการของท้องถิ่นหรือไม่เพียงใด เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข
สุนีย์ ไพรี (2548, หน้า 52) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1) เพื่อพิจาณาการตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรนั้นว่าหลักสูตรที่จัดทำขึ้นสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือไม่ 2) เพื่อค้นหาข้อบกพร่องของหลักสูตร ทั้งด้านเอกสารหลักสูตรที่กำหนดหลักการ จุดหมาย โครงสร้างและเนื้อหาสาระ ตลอดจนกระบวนการของการนำหลักสูตรไปใช้ การบริหารหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล และ 3) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์และคุณภาพของผู้เรียน
จากจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรที่ได้กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและเหมาะสมขององค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร เช่น จุดหมาย โครงสร้าง ขอบเขตเนื้อหาและความสัมพันธ์ของเนื้อหาวิชา คุณภาพผู้บริหารและผู้ใช้หลักสูตร คุณภาพผู้เรียน สื่อการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลว่าสอดคล้องหรือไม่ 2) เพื่อตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพเหมาะสมกับการนำไปใช้ สามารถตอบสนองจุดหมายของหลักสูตร ผลผลิตของหลักสูตรคือผู้เรียนเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ 3) เพื่อตัดสินว่าการบริหารงานด้านหลักสูตร การบริหารงานด้านวิชาการเหมาะสมหรือไม่ ช่วยในการตัดสินใจว่าการนำหลักสูตรไปใช้มีประสิทธิภาพเพียงใด ส่วนใดของหลักสูตรที่เป็นส่วนดีเหมาะสมก็ดำรงไว้หรือพัฒนาให้ดีขึ้น ส่วนใดของหลักสูตรที่เป็นส่วนด้อยมีข้อจำกัดมากสมควรเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก
ระยะเวลาของการประเมินหลักสูตร
ในการกำหนดประเด็นในการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินจะต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่เข้าประเมิน เพราะระยะเวลาที่เข้าประเมินแตกต่างกันจะมีประเด็นในการประเมินที่แตกต่างกัน
นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงระยะเวลาของการประเมินดังนี้
สุนีย์ ภู่พันธ์ (2546, หน้า 251) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรควรมีการดำเนินเป็นระยะๆ ทั้งนี้เนื่องจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของหลักสูตรอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยและในระยะต่างกัน เช่น อาจมีสาเหตุมาจากตอนจัดทำ หรือยกร่างหลักสูตร ทำให้ตัวหลักสูตรไม่มีคุณภาพที่ดี หรือไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของผู้เรียน และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหรืออาจมีสาเหตุมาจากตอนนำหลักหลักสูตรไปใช้ เป็นต้น การประเมินหลักสูตรที่ดีจึงต้องตรวจสอบเป็นระยะเพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
ระยะที่ 1 การประเมินหลักสูตรก่อนการนำหลักสูตรไปใช้ (project analysis) ในช่วงระหว่างที่มีการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตร อาจมีการดำเนินการตรวจสอบทุกขั้นตอนของการจัดทำนับแต่การกำหนดจุดมุ่งหมายไปจนถึงการกำหนดการวัดและประเมินผลการเรียน ซึ่งสามารถทำได้ 2 ลักษณะคือ
1. ประเมินหลักสูตรเมื่อสร้างหลักสูตรฉบับร่างเสร็จแล้ว ก่อนจะนำหลักสูตรไปใช้จริงควรมีการประเมินตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรฉบับร่างและองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร การประเมินหลักสูตรในระยะนี้ต้องอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาหลักสูตร ทางด้านเนื้อหาวิชา ทางด้านวิชาชีพครู ทางด้านการวัดผล หรือจะให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์หรือพิจารณาก็ได้
2. ประเมินหลักสูตรในขั้นทดลองใช้ เพื่อปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ขาดตกบกพร่องหรือเป็นปัญหาให้มีความสมบูรณ์เพื่อประสิทธิภาพในการนำไปใช้ต่อไป เช่น หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2521 มีการทดลองใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 และ 2520 เพื่อหาข้อบกพร่อง อุปสรรคจะได้แก้ไขให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป
ระยะที่ 2 การประเมินหลักสูตรระหว่างการดำเนินการใช้หลักสูตร (formative evaluation)ในขณะที่มีการดำเนินการใช้หลักสูตรที่จัดทำขึ้น ควรมีการประเมินเพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถนำไปใช้ได้ดีเพียงใดหรือบกพร่องในจุดไหนจะได้แก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสม เช่น การประเมินการใช้หลักสูตรในด้านการบริหารจัดการหลักสูตร การนิเทศกำกับติดตามและการจัดกระบวนการเรียนการสอน
ระยะที่ 3 การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตร (summative evaluation) หลังจากที่มี
การใช้หลักสูตรมาแล้วระยะหนึ่งหรือครบกระบวนการเรียบร้อยแล้ว ควรจะประเมินหลักสูตรทั้งระบบซึ่งได้แก่การประเมินองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ของหลักสูตรทั้งหมดคือเอกสารหลักสูตร วัสดุหลักสูตร บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรการบริหารหลักสูตร การนิเทศกำกับติดตาม การจัดกระบวนการเรียนการสอน ฯลฯ เพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรที่จัดทำขึ้นนั้นควรจะดำเนินการใช้ต่อไป หรือควรปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นหรือควรจะยกเลิก เช่น หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 มีช่วงการใช้ 6 ปี เมื่อครบ 6 ปีแล้วจะมีการประเมินผลหลักสูตรรวบยอดทั้งหมด โดยนำข้อมูลตั้งแต่ระยะที่ 1 จนถึงระยะที่ 2 มารวบรวมวิเคราะห์และประเมินคุณค่า ทั้งนี้อาจจะต้องอาศัยข้อมูลที่สำคัญอีกบางข้อมูล เช่นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ซึ่งได้แก่ การนำไปใช้ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพเข้ามาประกอบการวิเคราะห์ และประเมินค่า
พิสณุ ฟองศรี (2549, หน้า 139) กล่าวถึงการกำหนดขอบเขตการประเมินว่า การประเมินหลักสูตรอาจจะประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ ประเมินระหว่างใช้หลักสูตร และประเมินหลังจากใช้เสร็จสิ้นแล้ว หรือหลายช่วงเวลารวมกันก็ได้เช่นเดียวกับการประเมินโครงการ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ต้องการใช้ ผลการประเมินโดยแต่ละช่วงเวลามีสาระโดยสรุป ดังนี้
1. การประเมินหลักสูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้ เป็นการประเมินที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรฉบับร่าง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของหลักสูตรในการนำไปใช้รวมทั้งตรวจสอบโอกาสที่หลักสูตรนั้นจะประสบความสำเร็จ ซึ่งถ้ามีองค์ประกอบที่ดีก็ย่อมมีโอกาสสำเร็จสูงเสมือนว่าหลักสูตรนั้นได้บรรลุผลสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง การประเมินเพื่อหาข้อสรุปสำหรับการตัดสินใจเลือกหลักสูตรนี้ ส่วนใหญ่เรียกว่า “การวิเคราะห์หลักสูตรหรือการศึกษาความเป็นไปได้ของหลักสูตร” การประเมินในขั้นนี้เน้นการพิจารณาใน 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ
1.1 ความเหมาะสมของหลักสูตร เป็นการตรวจสอบขั้นต้นเพื่อกำหนดปัญหาความจำเป็นและเหตุผลที่สำคัญในการจัดทำหลักสูตรโดยพิจารณาเรื่องต่างๆ เช่น ความเป็นไปได้ทางเทคนิควิชาการ ความพร้อมทางการบริหารหลักสูตรนั้นให้ลุล่วงไปด้วยดีตามเป้าหมาย และความพร้อมในการสนับสนุนทางด้านทรัพยากร ความเป็นไปได้ในด้านการเงิน กำลังคน วัสดุและการจัดการ เป็นต้น
1.2 การวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการดำเนินการตามหลักสูตร โดยทั่วๆ ไปพิจารณาจากอัตราค่าใช้จ่ายกับผลประโยชน์แทน (benefit cost ratio) วิเคราะห์จุดคุ้มทุน (break even analysis) หรือพิจารณาจากการวิเคราะห์ต้นทุนและประสิทธิผลในการดำเนินงาน สำหรับด้านการศึกษานั้นการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการดำเนินงานจัดออกมาในรูปของหน่วยเงินทำได้ยาก
1.3 การศึกษาและคาดคะเนถึงประโยชน์ หรือสิ่งที่อาจเกิดตามมาจากการดำเนินงานตามหลักสูตร เป็นการศึกษาเชิงคาดคะเนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในการริเริ่มทำหลักสูตรแลในขณะดำเนินการใช้หลักสูตร การศึกษาเชิงคาดคะเนถึงผลที่จะตามมาจากการนำหลักสูตรไปใช้ยังไม่ค่อยแพร่หลาย แต่จะเป็นสิ่งที่มีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
2. การประเมินหลักสูตรระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร เป็นการประเมินการดำเนินงานเมื่อนำหลักสูตรไปใช้จริงโดยพิจารณาตรวจสอบในด้านการบริหารหลักสูตรกระบวนการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล การบริหารหลักสูตรเช่นการวางแผนการใช้หลักสูตร การเตรียมความพร้อมของบุคลากรก่อนใช้หลักสูตร การจัดหาทรัพยากร การจัดกระบวนการเรียนการสอน การจัดการชั้นเรียน ประสิทธิภาพในการสอน การนิเทศกำกับดูแลเป็นต้น
3. การประเมินหลักสูตรหลังจากการใช้หลักสูตร เป็นการประเมินเพื่อตอบคำถามว่าหลักสูตรประสบผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้หรือไม่ ผลจากการใช้หลักสูตรบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือไม่การประเมินในลักษณะนี้เป็นการประเมินหลักสูตรทั้งระบบ คือ ประเมินองค์ประกอบด้านต่างๆ ได้แก่ เอกสารหลักสูตร วัสดุหลักสูตร เอกสาร ตำรา คู่มือครู แบบเรียน แบบฝึกหัด บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร ผู้บริหาร ครู นักเรียน ศึกษานิเทศก์ ผู้เชี่ยวชาญ สภาพการใช้หลักสูตร การบริหารจัดการ กระบวนการเรียนการสอน การนิเทศกำกับ ดูแล การประเมินการเรียนการสอน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการประเมินหลังการใช้หลักสูตรจะครอบคลุมในหัวข้อการประเมินก่อนใช้และระหว่างใช้หลักสูตรด้วย
สุวิมล ติรกานันท์ (2548, หน้า 261) กล่าวว่าผู้ประเมินจะต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่เข้าประเมินและชนิดของหลักสูตร เพราะระยะเวลาที่เข้าประเมินแตกต่างกันจะมีประเด็นในการประเมินที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันประเภทของหลักสูตรที่แตกต่างกันจะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันทำให้ประเด็นการประเมินและตัวชี้วัดที่แตกต่างกันตามไปด้วย เมื่อพิจารณาระยะเวลาที่เข้าประเมินได้ ดังนี้
1. การประเมินก่อนจัดทำหลักสูตร เป็นการศึกษาความต้องการ การศึกษาสภาพเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป จึงจัดเป็นการประเมินความต้องการ (need assessment) ตามด้วยการประเมินบริบท (context evaluation)
2. การประเมินก่อนใช้หลักสูตร เป็นการศึกษาถึงความเป็นไปได้และความพร้อมในการดำเนินงานตามแผนจึงมีลักษณะเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) และการประเมิน
ปัจจัยนำเข้า (input evaluation) หรือเป็นการประเมินความพร้อมก่อนเริ่มดำเนินการ
3. การประเมินระหว่างการใช้หลักสูตร เป็นการศึกษาถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานควบคู่ไปกับการศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตามหลักสูตร จึงมีลักษณะเป็นการติดตามกำกับงาน (monitoring) การประเมินกระบวนการ (process evaluation) และการประเมินความก้าวหน้า (formative evaluation)
4. การประเมินผลเมื่อมีผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร เป็นการศึกษาผลการเรียนการสอนที่ได้จากการใช้หลักสูตร ผลการปฏิบัติงานตามหลักสูตรเพื่อสรุปผลที่ได้ทั้งหมด จึงมีลักษณะเป็นการประเมินผลผลิต (product evaluation) และการประเมินผลสรุป (summative evaluation)
5. การประเมินผลหลักสูตรเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เป็นการศึกษาถึงความเหมาะสมของหลักสูตรเมื่อเวลาผ่านไป ความยืดหยุ่นของหลักสูตรภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อนำผลที่ได้มาแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรต่อไป จึงจัดเป็นการติดตามผล (follow up study) จากการศึกษาระยะเวลาของการประเมินหลักสูตรหรือขอบเขตของการประเมินหลักสูตรที่ได้กล่าวมาทั้งหมด สรุปได้ว่าควรกำหนดระยะเวลาของการประเมินหลักสูตรเป็น 3 ระยะดังนี้
1) การประเมินหลักสูตรก่อนการนำหลักสูตรไปใช้ เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบ
คุณภาพของหลักสูตรฉบับร่าง และองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร เพื่อปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ขาด
ตกบกพร่องหรือเป็นปัญหา ให้มีความสมบูรณ์เพื่อประสิทธิภาพในการนำไปใช้ต่อไป ดังนั้นการ
ประเมินหลักสูตรในระยะนี้ต้องอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาหลักสูตรทางด้านเนื้อหาวิชา ทางด้านวิชาชีพครู ทางด้านการวัดผล หรือจะให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์หรือพิจารณาก็ได้
2) การประเมินหลักสูตรระหว่างการใช้หลักสูตร เพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถ
นำไปใช้ได้ดีเพียงใดหรือบกพร่องในจุดไหน จะได้แก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสม เช่น ระบบการบริหารหลักสูตร การวางแผนการใช้หลักสูตร การเตรียมความพร้อมของบุคลากรก่อนใช้หลักสูตรการจัดหาทรัพยากร การจัดกระบวนการเรียนการสอน การจัดการชั้นเรียน ประสิทธิภาพในการสอน การนิเทศกำกับดูแล
3) การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตร หลังจากที่มีการใช้หลักสูตรมาแล้วระยะหนึ่ง หรือครบกระบวนการเรียบร้อยแล้ว ควรจะประเมินหลักสูตรทั้งระบบ ซึ่งได้แก่การประเมินองค์ประกอบด้านต่างๆ ของหลักสูตรทั้งหมด คือเอกสารหลักสูตร วัสดุ หลักสูตร บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร การบริหารหลักสูตร การนิเทศกำกับติดตาม การจัดกระบวนการเรียนการสอน ฯลฯ เพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรที่จัดทำขึ้นนั้นควรจะดำเนินการใช้ต่อไป หรือควรปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น หรือควรจะยกเลิกทั้งหมดหรือบางส่วน
ขั้นตอนการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการในการพิจารณาคุณค่าหรือค่านิยม (Worth or Value) ของหลักสูตร ขั้นตอนหรือวิธีการประเมินจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับขั้นตอนในการประเมินหลักสูตร ดังนี้
ทาบา (Taba, 1962 page 324, อ้างอิงใน สุนีย์ ภู่พันธ์, 2546 หน้า 255) กล่าวถึงแนวทางในการประเมินผลหลักสูตรเป็นกระบวนการมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. วิเคราะห์และตีความวัตถุประสงค์ของหลักสูตรให้มองเห็นกระจ่างชัดในเชิงพฤติกรรมคือปฏิบัติได้จริง (Formulation and Clarification for Objective)
2. คัดเลือกและสร้างเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับค้นหาหลักสูตร (Selection and Construction of the Appropriate Instruments for Getting Evidences)
3. ใช้เครื่องมือที่สร้างขึ้นประเมินผลหลักสูตรตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (Application of Evaluative Criteria)
4. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังของนักเรียนและลักษณะของการสอนเพื่อนำมาประกอบในการแปลผลของการประเมิน (Information on the Background of Students and the Nature of Instruction in the light of Which to Interpret the Evidences)
5. แปลผลของการประเมิน เพื่อนำไปปรับปรุงหลักสูตรและการสอนต่อไป (Translation of Evaluation Findings into Improvement of the Curriculum and Instruction)
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539, หน้า 197) กล่าวถึงขั้นตอนอย่างเป็นระบบในการประเมินหลักสูตรควรดำเนินการ ดังนี้
1. ขั้นกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินหลักสูตรต้องกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการประเมินให้ชัดเจนก่อนว่าจะประเมินในส่วนใดหรือเรื่องใด เช่น
ต้องการประเมินผลเอกสารหลักสูตร ประเมินผลระบบการบริหารหลักสูตร ประเมินผลการสอน
ของครู ประเมินผลวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สอน ประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน หรือประเมินหลักสูตรทั้ง
ระบบ ฯลฯ และในแต่ละเรื่องจะศึกษาบางส่วนหรือทุกส่วนในเรื่องนั้นๆ ก็ได้ เช่น หากจะประเมิน
การใช้หลักสูตร อาจจะประเมินการใช้หลักสูตรทั้งหมด เช่น ประเมินการใช้หลักสูตรภาษาไทยใน
ระดับประถมศึกษาทุกด้าน หรืออาจประเมินบางส่วนของการใช้หลักสูตร กล่าวคือ ประเมินเฉพาะ
ประสิทธิภาพการสอนภาษาไทยของครูผู้สอนในระดับประถมศึกษา เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ประเมินหลักสูตรต้องกำหนดด้วยว่าต้องการนำข้อมูลมาทำอะไร เช่น เพื่อดูว่าหลักสูตรใช้ได้ผลหรือไม่
เพียงใด เพื่อปรับปรุงสูตร หรือเพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารว่าจะใช้หลักสูตรนี้ต่อไปอีกหรือไม่ เป็นต้น การกำหนดขอบข่ายวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการประเมินหลักสูตรอย่างเด่นชัดจะเป็นกรอบของการประเมินหรือตัวเสนอแนะรูปแบบของการประเมิน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินหลักสูตรได้อย่างเหมาะสม และถูกต้อง
2. ขั้นวางแผนออกแบบการประเมินผล การประเมินผลครั้งใดก็ตามถ้าไม่ได้วางแผนอย่างดีและรัดกุมแล้ว ผลที่ได้อาจไม่ดีเท่าที่ควร ขั้นตอนนี้จึงอาจเปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำไปสู่เป้าหมายของการประเมิน ดังนั้น หลังจากที่ผู้ประเมินผลได้ศึกษาและสำรวจเอกสารและผลงานประเมินที่เกี่ยวข้องต่างๆ แล้ว ผู้ประเมินผลก็พร้อมที่จะตัดสินใจวางรูปแบบการประเมินหลักสูตรได้ สิ่งที่ผู้ประเมินผลจะต้องตัดสินใจกำหนดมีดังนี้ คือ
2.1 การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง ในการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินผลอาจได้ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของประชากรนั้น
2.2 การกำหนดแห่งข้อมูล ก่อนลงมือเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ประเมินผลต้องตัดสินใจกำหนดแล้วว่า จะใช้แหล่งข้อมูลจากที่ใด กล่าวคือใช้แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary source) ซึ่งผู้ประเมินผลต้องเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่ด้วยตนเอง หรือแหล่งข้อมูลที่บุคคลหรือองค์กรอื่นๆ เก็บรวบรวมไว้แล้วหรือให้ข้อมูลทั้งสองแหล่ง พร้อมกันนั้น ผู้ประเมินควรพิจารณาข้อมูลจากหลายๆ แหล่งต่างๆ อาจมีหน้าที่ขัดแย้งกันได้ ดังนั้น จึงเป็นทางหนึ่งในการป้องกันอย่างลำเอียงของผู้ประเมินได้
2.3 การพัฒนาเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการประเมินหลักสูตรมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลหลายอย่างซึ่งผู้ประเมินผลควรพิจารณาเลือกใช้ให้กำหนด
2.4 การกำหนดเกณฑ์ในการประเมิน ผู้ประเมินควรตั้งเกณฑ์ในการประเมินทีเหมาะสมไว้ล่วงหน้า เพราะเกณฑ์การประเมินจะเป็นเครื่องบ่งชี้คุณภาพในส่วนของหลักสูตรที่ถูก
ประเมิน
2.5 การกำหนดเวลา ผู้ประเมินควรกำหนดในเรื่องของเวลาในการดำเนินการประเมินผลในขั้นตอนต่างๆ
3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ประเมินเก็บรวบรวมข้อมูลตามกรอบขอบข่ายและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในปฏิทินปฏิบัติงานประเมินผล ถ้าผู้ประเมินผลต้องอาศัยผู้อื่นเป็นผู้ช่วยหรือลูกมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นลูกมือด้วยเพราะบุคคลเหล่านี้ก็มีส่วนช่วยให้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือมากน้อยแตกต่างกันไป
4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ประเมินผลกำหนดวิธีการจัดระบบข้อมูลโดยอาจจำแนกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ และพิจารณาเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ที่เหมาะสม ซึ่งมักจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการประเมินผลและลักษณะของข้อมูล จากนั้นจึงวิเคราะห์และ/หรือสังเคราะห์ข้อมูลและลักษณะของข้อมูล จากนั้น โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดว่ามีความสอดคล้องกันอย่างหรือไม่เพียงใด
5. ขั้นรายงานผลการประเมิน ภายหลังจากที่วิเคราะห์ข้อมูลเสร็จเรียบร้อย แล้วผู้ประเมินผลจะต้องรายงานและเสนอผลการประเมินโดยเร็วเรียบร้อยแล้ว ผู้ประเมินจะต้องรายงานและมุ่งเสนอข้อมูลที่บ่งชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรนี้เพื่อนำไปปฏิบัติจริงแล้วมีคุณภาพเพียงใด มีส่วนใดบ้างที่ควรเก็บรวบรวม ส่วนใดบ้างที่แก้ปรับปรุงหรือเขตอุตสาหกรรม
จากขั้นตอนในการประเมินหลักสูตรที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถสรุปขั้นตอนการประเมินหลักสูตรได้ดังนี้
1. ขั้นกำหนดวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการประเมิน การกำหนดจุดมุ่งหมายในการประเมินเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการในการดำเนินการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินต้องกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการประเมินให้ชัดเจนว่าจะประเมินอะไร ในส่วนใด ด้วยวัตถุประสงค์อย่างไร เช่น ต้องการประเมินเอกสารหลักสูตรเพื่อดูว่าเอกสารหลักสูตรถูกต้องสมบูรณ์สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน หรือจะประเมินการนำหลักสูตรไปใช้ในเรื่องอะไร แค่ไหนหรือการนำหลักสูตรไปใช้ทั้งหมด หรือประเมินหลักสูตรทั้งระบบการกำหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินที่ชัดเจนทำให้เราสามารถกำหนดวิธี เครื่องมือ และขั้นตอนในการประเมินได้อย่างถูกต้อง และทำให้การประเมินหลักสูตรดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผล ถูกต้องเป็นที่เชื่อถือได้
2. ขั้นกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่จะใช้ในการประเมินผล การกำหนดเกณฑ์และวิธีการประเมินเปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำไปสู่เป้ าหมายของการประเมิน เกณฑ์การประเมินเป็นเครื่องบ่งชี้คุณภาพของหลักสูตรที่ถูกประเมิน การกำหนดวิธีการที่จะใช้ในการประเมินผลทำให้เราสามารถดำเนินงานไปตามขั้นตอนอย่างราบรื่น
3. ขั้นการสร้างเครื่องมือและวีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินหรือเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่จะมีผลทำให้การประเมินนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินหรือเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีหลายอย่าง ซึ่งผู้ประเมินจะต้องเลือกใช้และสร้างอย่างมีคุณภาพ มีความเชื่อถือได้ และมีความเที่ยงตรงสูง
4. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ในขั้นการรวบรวมข้อมูลนั้นผู้ประเมินต้องเก็บรวบรวมข้อมูลตามขอบเขตและระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ในบางครั้งถ้าจำเป็นต้องอาศัยผู้อื่นในการรวบรวมข้อมูล ควรพิจารณาผู้ที่จะมาทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเหมาะสม เพราะผู้เก็บรวบรวมข้อมูลมีส่วนช่วยให้ข้อมูลที่รวบรวมได้มีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ
5. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นนี้ผู้ประเมินจะต้องกำหนดวิธีการจัดระบบข้อมูลพิจารณาเลือกใช้สถิติในการใช้ข้อมูลที่เหมาะสม แล้วจึงวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นโดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้
6. ขั้นสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผลการประเมิน ในขั้นนี้ผู้ประเมินจะสรุปและรายงานผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต้น ผู้ประเมินจะต้องพิจารณารูปแบบของการรายงานผลว่าควรจะเป็นรูปแบบใด และการรายงานผลจะมุ่งเสนอข้อมูลที่บ่งชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรมีคุณภาพหรือไม่ เพียงใด มีส่วนใดบ้างที่ควรแก้ไข ปรับปรุงหรือยกเลิก
เกณฑ์การประเมิน
การประเมินหลักสูตรนอกจากจะช่วยให้ผู้ประเมินได้แนวทางในการออกแบบแผนการประเมิน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการรายงานผลการประเมินแล้ว ยังมีส่วนในการที่จะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องยอมรับผลการประเมินด้วยสิ่งที่สำคัญคือการกำหนดเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับสำหรับทุกฝ่าย
ความหมายของเกณฑ์ (criterion)
นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของเกณฑ์ ไว้ดังนี้
ศิริชัย กาญจนวาสี (2550, หน้า 95) กล่าวว่าเกณฑ์หมายถึงระดับหรือมาตรฐานที่ถือว่าเป็นความสำเร็จของการดำเนินงานหรือผลการดำเนินงาน เกณฑ์จึงเป็นตัวตัดสินคุณภาพของการปฏิบัติหรือผลที่ได้รับ เกณฑ์อาจได้มาจากมาตรฐานทางวิชาชีพ มาตรฐานการกระทำหรือระดับความคาดหวังที่พึงประสงค์ของกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง
รัตนะ บัวสนธ์ (2540, หน้า 15) กล่าวว่าเกณฑ์หมายถึงสิ่งใดๆ ก็ตามที่ใช้เป็นหลักสำหรับการตัดสินใจ
องอาจ นัยพัฒน์ (2543, หน้า 23-40) กล่าวว่าเกณฑ์หมายถึงดัชนีบ่งชี้คุณค่าหรือคุณภาพภายนอกที่สัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายหนึ่งๆ ซึ่งบรรยายคุณสมบัติหรือลักษณะที่เป็นความสำเร็จความมุ่งหวังของสิ่งที่ต้องการประเมิน
จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า เกณฑ์หมายถึงสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบหรือวัดคุณค่า/คุณภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจที่ถือว่าเป็นความสำเร็จของการดำเนินงานหรือความมุ่งหวังของสิ่งที่ประเมิน
ประเภทของเกณฑ์การประเมิน
นักการศึกษาได้แบ่งประเภทของเกณฑ์การประเมินไว้ดังนี้
ประชุม รอดประเสริฐ (2535, หน้า 93-94) กล่าวว่าเกณฑ์ประเมินผลงานจำแนกไว้ 2 ลักษณะได้แก่
1. เกณฑ์ที่ตั้งขึ้น (instrumental criteria) เป็นเกณฑ์กลางที่กำหนดขึ้นไว้ก่อนที่จะมีการดำเนินงานหรือเป็นเกณฑ์ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ หรือเป็นเกณฑ์ที่เป็นไปตามเครื่องมือ
2. เกณฑ์ตามเหตุ (consequential criteria) เป็นเกณฑ์ที่เป็นไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเป็นเกณฑ์ที่ต้องผันแปรไปตามสถานการณ์ในขณะที่ดำเนินการอยู่
ศิริชัย กาญจนวาสี (2550, หน้า 95) กล่าวว่าเกณฑ์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. เกณฑ์สัมพัทธ์ (relative criterion) เป็นเกณฑ์ที่พัฒนามาจากประสบการณ์ในการเปรียบเทียบผลระหว่างโครงการหรือเปรียบเทียบกับผลที่เคยทำมาแล้ว หรือเปรียบเทียบกับปกติวิสัย (norm) ของการจัดโครงการโดยทั่วๆ ไป
2. เกณฑ์สัมบูรณ์ (absolute criterion) เป็นเกณฑ์ที่พัฒนามาจากหลักเหตุผลเกี่ยวกับมาตรฐานของสิ่งนั้น หรือความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับทางวิชาชีพหรือคุณภาพของสิ่งนั้นอันเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ
รัตนะ บัวสนธ์ (2540, หน้า 16) กล่าวว่าเกณฑ์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. เกณฑ์สัมบูรณ์ หมายถึงสิ่งที่เป็นหลักในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนตายตัว
2. เกณฑ์สัมพัทธ์ หมายถึงสิ่งที่ใช้เป็นหลักในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะเดียวกัน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าเกณฑ์การประเมินแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1) เกณฑ์สัมบูรณ์ หมายถึงเกณฑ์ที่ใช้เป็นหลักในการตัดสินเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าอันเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้อง เช่น การตัดสินผลการเรียนเทียบกับเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ว่าได้คะแนนร้อยละไรจึงจะได้ระดับผลการเรียน 4 , 3.5 , 3 , 2.5 , 2 , 1.5 , 1 หรือ 0 ตามลำดับ ซึ่งเกณฑ์นี้เป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้องทุกคนคือ ครู ผู้เรียน และผู้ปกครอง 2) เกณฑ์สัมพัทธ์หมายถึงเกณฑ์ที่พัฒนามาจากประสบการณ์ในการเปรียบเทียบผลระหว่างโครงการหรือเปรียบเทียบกับผลที่เคยทำมาแล้ว หรือเปรียบเทียบกับปกติวิสัย ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะเดียวกัน เช่นจากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาโดยทั่วๆ ไปประเมินปัจจัยนำเข้าในตัวชี้วัดความเพียงพอของวัสดุอุปกรณ์และสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนใช้เกณฑ์ลักษณะเดียวกันคือค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของผู้สำเร็จการศึกษาจากมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ อยู่ในระดับมาก เป็นต้น
สุนีย์ ภู่พันธ์ (2546, หน้า 254) กล่าวว่าการประเมินผลหลักสูตรเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ผู้ทำหน้าที่ประเมินผลจำเป็นต้องยึดหลักการที่สำคัญในการประเมินผลเพื่อที่จะทำให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลจากการประเมินหลักสูตรที่มีคุณค่าเพียงพอที่จะนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรได้จริง เป็นข้อมูลหรือหลักฐานที่เชื่อถือได้สูง มีความเที่ยงตรง เราจะพบว่าในการประเมินหลักสูตรผลจากการประเมินหลายต่อหลายครั้งมิได้ถูกนำไปใช้ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้ง ๆ ที่การประเมินผลหลักสูตรแต่ละครั้งเป็นงานใหญ่ต้องลงทุนลงแรงสูง ดังนั้นในการประเมินหลักสูตรเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีคุณค่าจึงมีหลักเกณฑ์ที่จะช่วยในการประเมินดังนี้
1. มีจุดประสงค์ในการประเมินที่แน่นอน การประเมินผลหลักสูตรจะต้องกำหนดลงไปให้แน่นอนชัดเจนว่าจะประเมินอะไร
2. มีการวัดที่เชื่อถือได้ โดยมีเครื่องมือและเกณฑ์การวัดซึ่งเป็นที่ยอมรับ
3. ข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประเมินผล ดังนั้นข้อมูลจะต้องได้มาอย่างถูกต้องและเชื่อถือได้ และมากพอที่จะใช้เป็นตัวประเมินค่าหลักสูตรได้
4. มีขอบเขตที่แน่นอนชัดเจนว่าเรื่องต้องการประเมินในเรื่องใดแค่ไหน
5. ประเด็นของเรื่องที่ประเมินอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจ
6. การรวบรวมข้อมูลมาเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ และกำหนดเครื่องมือในการประเมินผลจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
7. การวิเคราะห์ผลการประเมินต้องทำอย่างระมัดระวังรอบคอบ และให้มีความเที่ยงตรงในการพิจารณา
8. การประเมินผลหลักสูตรควรใช้วิธีหลายๆ วิธี
9. มีเอกภาพในการตัดสินผลการประเมิน
10. ผลต่างๆ ที่ได้จากการประเมินควรนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรทั้งในด้านปรับปรุง เปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี และมีคุณค่าสูงสุดตามที่ต้องการ
11. ต้องถือปฏิบัติต่อเนื่องตลอดเวลา
รุจิร์ ภู่สาระ (2546, หน้า 150 - 152) กล่าวว่า ผลการประเมินหลักสูตรจะมีความเชื่อถือเพียงใดอยู่ที่เกณฑ์สำหรับการใช้พิจารณาตัดสิน การประเมินผลหลักสูตรของคณะกรรมการประเมินหลักสูตรเลือกใช้ได้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาสำหรับการประเมินหลักสูตรมีดังนี้
1. ความเที่ยงตรงภายใน (Internal validity) หมายถึง การออกแบบการประเมินเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลทำให้ได้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ประเมินผลของการประเมินตรงตามปรากฏการณ์เป็นตัวแทนภายในขอบข่ายของการพิจารณาอย่างถูกต้องและเป็นจริง
2. ความเที่ยงตรงภายนอก (External validity) หมายถึง ผลการประเมินหลักสูตรที่ได้สามารถจำไปอ้างอิงสรุปได้กว้างขวางเพียงใดเกี่ยวกับเรื่องของเวลา สิ่งแวดล้อ ภูมิภาค และบุคคลที่มีสภาพความคล้ายคลึงกับกลุ่มที่ประเมิน
3. ความเชื่อถือได้ (Reliability) หมายถึง ความคงที่ของข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากการใช้เครื่องมือวัดหลายอย่าง ผู้ประเมินหลักสูตรควรคำนึงถึงความน่าเพียงพอของการเก็บหรือวัดหรืออาจจะทำการวัดหลายๆครั้ง หรือวัดครั้งเดียวด้วยเทคนิคการวัดแบบต่างๆ เพื่อตรวจสอบความคงที่ของคำตอบ เรื่องนี้ผู้ประเมินหลักสูตรต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการวัดค่อนข้างมาก และมีความละเอียดรอบคอบและมีความรับผิดชอบ
4. ความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึง คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจข้อมูลที่ได้จากการวัดตรงกันมากน้อยเพียงไร ผู้ประเมินรวบรวมข้อมูล รายละเอียดและตัดสินใจ แปลผลตรงกันบุคคลที่ร่วมประเมินด้วยความเป็นปรนัยของการประเมินจึงจะเกิดขึ้น
5. ความสอดคล้องสัมพันธ์ (Relevance) หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการประเมินความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการประเมินเพียงไร การกำหนดจุดมุ่งหมายของการประเมินไว้ชัดเจนจะช่วยให้ผู้ประเมินมีความระมัดระวังในการเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบตนเองเสมอได้
6. ความสำคัญ (Importance) หมายถึง การจัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบหลักสูตรที่จะประเมิน การวางแผนเก็บรวบรวมข้อมูลว่าข้อมูล ส่วนใดมีประโยชน์มากกว่ากันเพราะการประเมินหลักสูตรบางครั้งต้องทำการประเมินที่มีลักษณะกว้างและลึก การเก็บรวบรวมข้อมูลถ้าไม่มีการจัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบหลักสูตรที่จะประเมิน จะทำให้การเก็บข้อมูลในเรื่องเดียวกันจำนวนมาก ผู้ประเมินหลักสูตรจะต้องถือเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องจัดลำดับความสำคัญให้กับข้อมูลที่จะไปเก็บรวบรวม
7. ขอบข่ายของการประเมิน (Scope) หมายถึง ระบบและแบบแผนของการประเมินที่จะเอื้ออำนวยให้ทำการศึกษาได้กว่างและลึก ผู้ประเมินจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และไม่ควรหยิบยกวิธีการประเมินเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งมาใช้ในการประเมินหลักสูตร
8. ความเชื่อถือและการยอมรับ (Credibility) หมายถึง ผู้ที่ต้องการใช้ผลการประเมินมีความเชื่อถือในผู้ประเมิน และยอมรับข้อมูลจากผลการประเมินได้มากน้อยเพียงใด เพราะความสัมพันธ์ของผู้ประเมินหลักสูตรกับผู้ใช้ผลการประเมินหลักสูตรจะมีอิทธิพลต่อการประเมินหลักสูตรมาก
9. เวลา (Timeliness) หมายถึง การรายงานผลการประเมินจะทันใช้ในเวลาที่ต้องการหรือไม่ การใช้เวลาสำหรับกิจกรรมการประเมิน การเขียนรายงานการประเมินเป็นรายละเอียดที่จะต้องใช้เวลาอาจทำให้พลาดโอกาสที่จะใช้ผลการประเมินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติการใช้หลักสูตร
10. ขอบเขตของการใช้ผลการประเมิน (Pervasiveness) หมายถึง การนำผลการประเมินหลักสูตรไปใช้อย่างกว้างขวางและมีการเผยแพร่อย่างไร การเขียนรายงานการประเมินหลักสูตรจะต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะนำเสนอให้ถูกต้อง และใช้ผลการประเมินกว้างและลึกในลักษณะที่แตกต่างกัน
11. ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การพิจารณาทางเลือกในการปฏิบัติเมื่อการประเมินเสร็จเรียบร้อย ทางเลือกนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ร่วมงาน ค่าใช้จ่าย ประโยชน์ที่ได้รับจากการประเมินหลักสูตรนี้ การดำเนินการประเมินส่วนมากจะพบข้อจำกัดต่างๆ ผู้ประเมินหลักสูตรต้องมีความตระหนัก และรับผิดชอบต่อจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรให้มาก
จากแนวคิดดังกล่าวสามารถสรุปเกณฑ์การประเมินหลักสูตรได้ว่า ต้องมีความเที่ยงตรง เชื่อถือได้ มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพ
การกำหนดเกณฑ์การประเมิน
ในการประเมินผลสิ่งใดก็ตามผู้ที่ทำหน้าที่ประเมินจะต้องมีการกำหนดเกณฑ์ขึ้นใช้ในการประเมิน เพราะเกณฑ์คือสิ่งที่เป็นหลักสำหรับการตัดสินใจ ซึ่งการกำหนดเกณฑ์เพื่อการประเมินทำได้หลายวิธีตามลักษณะของเกณฑ์ นักวิชาการได้กำหนดเกณฑ์ไว้ในลักษณะต่างๆ ดังนี้
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2533, หน้า 138) เสนอแนวทางการกำหนดเกณฑ์การประเมินการวัดด้านความรู้สึกหรือความพึงพอใจ โดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท ในการรวบรวมข้อมูลการประเมินใช้คะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นแต่ละช่วงเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูล เกณฑ์ในการประเมินมีดังนี้
ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.49 หมายถึง ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายถึง ไม่เห็นด้วย
ค่าเฉลี่ย 2.50 - 3.49 หมายถึง ไม่แน่ใจ
ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 หมายถึง เห็นด้วย
ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึง เห็นด้วยอย่างยิ่ง
รัตนะ บัวสนธ์ (2540, หน้า 186 - 188) กล่าวถึงลักษณะของเกณฑ์ที่กำหนดวิธีต่างๆ ได้แก่ การกำหนดเกณฑ์สัมบูรณ์ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินโครงการหรือหลักสูตรผู้ประเมินอาจใช้คะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นแต่ละช่วงเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลของโครงการหรือหลักสูตรที่ได้จากการรวบรวมและวิเคราะห์มา เช่น การกำหนดเกณฑ์ระดับความคิดเห็นของบุคคลจากการใช้แบบประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท ดังนี้
ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.49 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับน้อยที่สุด
ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับน้อย
ค่าเฉลี่ย 2.50 - 3.49 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด
สมคิด พรมจุ้ย (2544, หน้า 82) กล่าวว่าการกำหนดเกณฑ์ในการประเมินที่นิยมในการประเมินมีหลายลักษณะคือ
1. โมเดลความงอกงาม กำหนดเกณฑ์ในการประเมินโครงการหรือหลักสูตร โดยพิจารณาจากพัฒนาการที่เพิ่มขึ้น หรือดูความงอกงาม เช่นเปรียบเทียบความรู้ระหว่างก่อนและหลังอบรมในการตัดสินใจทำได้ 3 ลักษณะคือดูว่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่กำหนดช่วงคะแนนที่เพิ่มขึ้น ผู้เข้ารับการอบรมต้องได้คะแนนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 หรือกำหนดความรู้ขั้นต่ำที่ยอมรับได้ เช่น ผู้เข้ารับการอบรมต้องได้คะแนนร้อยละ 80
2. โมเดลสัมบูรณ์หรือมาตรฐาน เป็นการกำหนดเกณฑ์โดยอาศัยหลักเหตุผลการกำหนดระดับที่ควรมี ควรเป็นจากโครงการ เช่น สอบได้ร้อยละ 80
3. โมเดลสัมพัทธ์ ในบางกรณีผู้ประเมินไม่สามารถกำหนดเกณฑ์สมบูรณ์ได้จำเป็นต้องเทียบเคียงกับโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น เทียบกันเองในกลุ่ม เทียบกับปกติวิสัย (norm)
4. การกำหนดเกณฑ์โดยวิธีการตรวจสอบความสอดคล้องของผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ศึกษามาจากเกณฑ์การประเมินที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าเกณฑ์การประเมินมี 2 ลักษณะคือ เกณฑ์สัมบูรณ์และเกณฑ์สัมพัทธ์ การใช้เกณฑ์ในการประเมินจะเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับได้ของผู้เชี่ยวชาญและนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ต้องเลือกกำหนดเกณฑ์ที่มีองค์ประกอบตรงกับลักษณะของข้อมูลที่จะนำมาประเมิน
รูปแบบของการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรเป็นการดำเนินการอย่างมีระเบียบแบบแผน โดยทั่วไปมักกำหนดรูปแบบในการประเมิน โดยเลือกรูปแบบการประเมินรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือหลายรูปแบบ เพื่อที่จะสามารถประเมินได้ครบถ้วนตามจุดมุ่งหมายของการประเมิน การเลือกใช้วิธีการประเมินที่เหมาะสมจะทำให้การประเมินหลักสูตรเป็นไปอย่างเที่ยงตรง (valid) และเชื่อถือได้ (reliable) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการประเมินหลักสูตร ในการประเมินหลักสูตรควรประเมินทั้งระบบของหลักสูตร นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรได้เสนอรูปแบบการประเมินไว้ ดังนี้
สุนีย์ ภู่พันธ์ (2546, หน้า 259) กล่าวว่าในปัจจุบันรูปแบบของการประเมินหลักสูตรสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรที่สร้างเสร็จใหม่ๆ เป็นการประเมินผลก่อนนำหลักสูตรไปใช้ กลุ่มนี้จะเสนอรูปแบบที่เด่นๆ คือ รูปแบบการประเมินหลักสูตรด้วยเทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยแซงค์ (Puissance analysis technique)
2. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรในระหว่างหรือหลังการใช้หลักสูตรสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้
2.1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดจุดมุ่งหมายเป็นหลัก (goal attainment model) เป็นรูปแบบการประเมินที่จะประเมินว่าหลักสูตรมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายเป็นหลัก กล่าวคือพิจารณาว่าผลที่ได้รับเป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Tyler) และรูปแบบการประเมินหลักสูตรของ แฮมมอนด์ (Hammond)
2.2 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ไม่ยึดเป้าหมาย (goal free evaluation model) เป็นรูปแบบการประเมินที่ไม่นำความคิดของผู้ประเมินเป็นตัวกำหนดความคิดในโครงการประเมินผู้ประเมินจะประเมินเหตุการณ์ที่เกิดตามสภาพความเป็นจริง มีความเป็นอิสระในการประเมินและต้องไม่มีความลำเอียง เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน (Scriven)
2.3 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก (criterion model) เป็นรูปแบบการประเมินที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้เกณฑ์เป็นหลัก เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (Stake)
2.4 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ช่วยในการตัดสินใจ (decision making model) เป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการทำงานอย่างมีระบบเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการเสนอผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส (Provus) รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) แต่ละรูปแบบของการประเมินหลักสูตรมี ดังนี้
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (The Stake’s Congruence Contingency Model)
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก สเตคได้ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตรว่าเป็นการบรรยายและตัดสินคุณค่าของหลักสูตรซึ่งเน้นเรื่องการบรรยายสิ่งที่จะถูกประเมิน อาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินคุณค่า มีจุดมุ่งหมายที่จะประเมินผลหลักสูตรโดยการประเมินส่วนประกอบของการจัดการเรียนการสอนหลายๆ ส่วน ซึ่งไม่เพียงแต่จะพิจารณาเฉพาะผลที่เกิดจากการใช้หลักสูตรเท่านั้น ยังประเมินครอบคลุมผลของหลักสูตรถึง 3 ด้านคือ
1. ด้านสิ่งที่มาก่อน หรือสภาพก่อนเริ่มโครงการหมายถึงสิ่งต่างๆ ที่เอื้อให้เกิดผลจากหลักสูตรและเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนการใช้หลักสูตรอยู่แล้วประกอบด้วย 7 หัวข้อคือ บุคลิกและนิสัยของนักเรียน บุคลิกและนิสัยของครู เนื้อหาในหลักสูตร วัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอน อาคาร สถานที่ การจัดโรงเรียน และลักษณะของชุมชน
2. ด้านกระบวนการเรียนการสอนหมายถึงปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะที่มีการเรียนการสอนระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู ครูกับผู้ปกครอง เป็นขั้นของการใช้หลักสูตรซึ่งประกอบด้วย 5 หัวข้อคือการสื่อสาร การจัดแบ่งเวลา การลำดับเหตุการณ์ การให้กำลังใจและบรรยากาศของสิ่งแวดล้อม
3. ด้านผลผลิตหรือผลที่ได้รับจากโครงการหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ใช้หลักสูตรประกอบด้วย 5 หัวข้อคือผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ทัศนคติของนักเรียน ทักษะของนักเรียน ผลที่เกิดขึ้นกับครู และผลที่เกิดขึ้นกับสถาบัน
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Tyler)
ไทเลอร์เป็นผู้ที่วางรากฐานการประเมินหลักสูตรโดยเสนอแนะแนวคิดว่าการประเมินหลักสูตรเป็นการเปรียบเทียบว่าพฤติกรรมของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ได้ ตั้งไว้หรือไม่โดยการศึกษารายละเอียดขององค์ประกอบของกระบวนการจัดการศึกษา 3 ส่วน คือจุดมุ่งหมายทางการศึกษา การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนดังภาพที่ 1
ภาพที่ 1 รูปแบบการประเมินของไทเลอร์
ที่มา: (สุนีย์ ภู่พันธ์, 2546, หน้า 270)
ไทเลอร์ มีความเชื่อว่าจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจนรัดกุมและจำเพาะเจาะจงจะเป็นแนวทางในการประเมินผลในภายหลัง บทบาทของการประเมินหลักสูตรจึงอยู่ที่การดูผลผลิตของหลักสูตรว่าตรงตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดหรือไม่ แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรจึงยึดความสำเร็จของจุดมุ่งหมายเป็นหลักดังนั้นจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร คือ
1. เพื่อตัดสินว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ตั้งไว้ในรูปของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมนั้นประสบผลสำเร็จหรือไม่ ส่วนใดที่ประสบผลสำเร็จก็อาจเก็บไว้ใช้ได้ต่อไปแต่ส่วนใดที่ไม่ประสบผลสำเร็จควรจะปรับปรุงแก้ไข
2. เพื่อประเมินค่าความก้าวหน้าทางการศึกษาของกลุ่มประชากรขนาดใหญ่เพื่อให้สาธารณชนได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเข้าใจปัญหาความต้องการของการศึกษา และเพื่อใช้ข้อมูลนั้นเป็นแนวทางในการปรับปรุงนโยบายทางการศึกษาที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย
ด้วยเหตุนี้การประเมินหลักสูตรจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนและของการประเมินคุณค่าของหลักสูตรด้วย ไทเลอร์ได้จัดลำดับขั้นตอนของการเรียนการสอนและการประเมินผลดังนี้
1. กำหนดจุดมุ่งหมายอย่างกว้างๆ โดยการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ในการกำหนดจุดมุ่งหมาย (goal sources) คือนักเรียน สังคม และเนื้อหาสาระส่วนปัจจัยที่กำหนดขอบเขตของจุดมุ่งหมายคือจิตวิทยาการเรียนรู้และปรัชญาการศึกษา
2. กำหนดจุดประสงค์เฉพาะหรือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นพฤติกรรมที่ต้องการวัดหลังจากจัดประสบการณ์การเรียนรู้
3. กำหนดเนื้อหาหรือประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
4. เลือกวิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่จะทำให้เนื้อหาหรือประสบการณ์ที่วางไว้ประสบความสำเร็จ
5. ประเมินผลโดยการตัดสินใจด้วยการวัดผลทางการศึกษา หรือการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
6. หากหลักสูตรไม่บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ ก็จะต้องมีการตัดสินใจที่จะยกเลิกหรือปรับปรุงหลักสูตรนั้น แต่ถ้าบรรลุตามจุดมุ่งหมายก็อาจจะใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เพื่อปรับปรุงการกำหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง หรือใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพของหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์ จะเห็นว่าเป็นการยึดความสำเร็จของผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ในการตัดสินโดยอาศัยการวัดพฤติกรรมก่อนและหลังเรียน และมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ก่อนล่วงหน้าว่าความสำเร็จระดับใดจึงจะประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ การประเมินผลในลักษณะนี้จึงเป็นการประเมินผลสรุปมากกว่าการประเมินผลความก้าวหน้า
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของ แฮมมอนด์ (Hammond)
แฮมมอนด์ มีแนวคิดในการประเมินหลักสูตรโดยยึดจุดประสงค์เป็นหลักคล้ายของไทเลอร์ แต่ต่างจากไทเลอร์ที่ แฮมมอนด์เสนอว่าโครงสร้างสำหรับการประเมินนั้นประกอบด้วยมิติ (dimensions) ใหญ่ๆ หลายมิติด้วยกันแต่ละมิติประกอบด้วยตัวแปรสำคัญๆ อีกหลายตัวแปรความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหลักสูตรขึ้นอยู่กับการปะทะสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างตัวแปรในมิติต่างๆ เหล่านี้ มิติทั้ง 3 ได้แก่ มิติด้านการเรียนการสอน มิติด้านสถาบัน และมิติด้านพฤติกรรม
1. มิติด้านการสอน ประกอบด้วยตัวแปรสำคัญ 5 ตัวแปร คือ
1.1 การจัดชั้นเรียนและตารางสอนคือการจัดครูและนักเรียนให้พบกันและดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งการจัดในส่วนนี้จะต้องคำนึงถึงเวลาและสถานที่ด้วย
1.2 เนื้อหาวิชาหมายถึงเนื้อหาวิชาที่จะนำมาจัดการเรียนการสอน การจัดลำดับเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับวุฒิภาวะของผู้เรียนและชั้นเรียนแต่ละระดับ
1.3 วิธีการหมายถึงหลักการเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนรวมทั้งปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน
1.4 สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หมายถึง สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือและอุปกรณ์
พิเศษ ห้องปฏิบัติการ วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมถึงสิ่งที่มีผลต่อการใช้หลักสูตรและการสอนด้านอื่น
1.5 งบประมาณหมายถึงเงินที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนการซ่อมแซม เงินเดือนครู ค่าจ้างบุคลากรที่จะทำให้งานการใช้หลักสูตรประสบความสำเร็จ
2. มิติด้านสถาบัน ประกอบด้วยตัวแปรที่ควรคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร 5 ตัวแปร คือ
2.1 นักเรียน มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ ระดับชั้นที่กำลังศึกษา ความสนใจ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สุขภาพกายและสุขภาพจิต ภูมิหลังทางครอบครัว
2.2 ครู มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ วุฒิ
สูงสุดทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการสอน เงินเดือน กิจกรรมที่ทำเวลาว่าง การฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี และความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
2.3 ผู้บริหาร มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ วุฒิสูงสุดทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการบริหาร เงินเดือน ลักษณะทางบุคลิกภาพการฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี และความพึงพอใจในการปฏิบัติงานด้านวิชาการ
2.4 ผู้เชี่ยวชาญ มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตรได้แก่ อายุ
เพศ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ลักษณะของการให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือ ลักษณะทางบุคลิกภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
2.5 ครอบครัว มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ สถานภาพสมรส ขนาดของครอบครัว รายได้ สถานที่อยู่ การศึกษา การเป็นสมาชิกของสมาคม การโยกย้าย จำนวนบุตรที่อยู่ที่โรงเรียนนี้ และจำนวนญาติที่อยู่ร่วมโรงเรียน
2.6 ชุมชน มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ สภาพ
ชุมชน จำนวนประชากร การกระจายของอายุของประชากร ความเชื่อ (ค่านิยม ประเพณี ศาสนา)
ลักษณะทางเศรษฐกิจ สภาพการให้บริการสุขภาพอนามัย และการรับนวัตกรรมเทคโนโลยี
3. มิติด้านพฤติกรรม มีองค์ประกอบของพฤติกรรม 3 ด้านคือ พฤติกรรมด้านความรู้ (cognitive domain) พฤติกรรมด้านทักษะ (psychomotor domain) และพฤติกรรมด้านเจตคติ (affective domain)
แนวคิดการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ เริ่มด้วยการประเมินหลักสูตรที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การตัดสินใจ แล้วจึงเริ่มกำหนดทิศทางและกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ขั้นตอนของการประเมินหลักสูตรมี ดังนี้
1. กำหนดสิ่งที่ต้องการประเมิน ควรจะเริ่มต้นที่วิชาใดวิชาหนึ่งในหลักสูตร เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และจำกัดระดับชั้นเรียน
2. กำหนดตัวแปรในมิติการสอนและมิติสถาบันให้ชัดเจน
3. กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยระบุถึง พฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงว่าประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนด เงื่อนไขของพฤติกรรมที่เกิดขึ้น และเกณฑ์ของพฤติกรรมที่บอกให้รู้ว่านักเรียนประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์มากน้อยเท่าใด
4. ประเมินพฤติกรรมที่ระบุไว้ในจุดประสงค์ ผลที่ได้จากการประเมินจะเป็นตัวกำหนดพิจารณาหลักสูตรที่ดำเนินการใช้อยู่ เพื่อตัดสินรวมทั้งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
5. วิเคราะห์ผลภายในองค์ประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับพฤติกรรมแท้จริงที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นผลสะท้อนกลับไปสู่วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้ และเป็นการตัดสินว่าหลักสูตรนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด
6. พิจารณาสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงปรับปรุง
แนวคิดในการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ ใช้แนวคิดของไทเลอร์เป็นพื้นฐานในการกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และการใช้ข้อมูลจากการประเมินผลในการปรับปรุง จุดประสงค์ของหลักสูตรนั้น แต่แฮมมอนด์ให้แนวคิดที่เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ตัวแปรของมิติด้านการสอนและมิติด้านสถาบันซึ่งอาจมีผลต่อความสำเร็จของหลักสูตรนั้นด้วย
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส (Provus discrepancy evaluation model)
โพรวัส ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการประเมินหลักสูตรซึ่งเรียกว่า “การประเมินผล
ความแตกต่างหรือการประเมินผลความไม่สอดคล้อง” (discrepancy evaluation) ซึ่งจะประเมินหลักสูตรทั้งหมด 5 ส่วนคือ 1) การออกแบบ (design) 2) ทรัพยากรหรือสิ่งที่เริ่มตั้งไว้เมื่อใช้หลักสูตร (installation) 3) กระบวนการ (process) 4) ผลผลิตของหลักสูตร (products) และ 5) ค่าใช้จ่าย หรือผลตอบแทน (cost) ในแต่ละส่วนจะมีขั้นตอนการประเมินผลเหมือนกันโดยจะดำเนินการเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ผู้ประเมินจะต้องกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน (standards = S) ของสิ่งที่ต้องการวัดก่อน เช่น มาตรฐานด้านเนื้อหา เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ผู้ประเมินต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานหรือการปฏิบัติจริงของสิ่งที่ต้องการวัด (performance = P)
ขั้นที่ 3 ผู้ประเมินนำข้อมูลที่รวบรวมได้ในขั้นที่ 2 มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ในขั้นที่ 1 (compare = C)
ขั้นที่ 4 ผู้ประเมินศึกษาความแตกต่างหรือความไม่สอดคล้องระหว่างผลการปฏิบัติจริงกับเกณฑ์มาตรฐาน (discrepancy = D)
ขั้นที่ 5 ผู้ประเมินส่งผลการประเมินไปให้ผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรว่าจะยกเลิกการใช้หลักสูตรที่ประเมินหรือปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติหรือเกณฑ์มาตรฐานให้มีคุณภาพดีขึ้น (Decision Making) สามารถสรุปได้ดังภาพที่ 2
ภาพที่ 2 แสดงการประเมินของโพรวัส
ที่มา: (สุนีย์ ภู่พันธ์, 2546, หน้า 274)
จากภาพที่ 2 แสดงการประเมินของโพรวัส S = standard เป็นขั้นแรกของการดำเนินการประเมิน ผู้ประเมินต้องตั้งมาตรฐานที่ต้องการวัดไว้ก่อน P = performance รวบรวมข้อมูลที่แสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินงาน หรือการปฏิบัติจริงมาให้เพียงพอ C = compare นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ D = discrepancy ศึกษาความแตกต่างหรือความไม่สอดคล้องระหว่างผลการปฏิบัติจริงกับเกณฑ์มาตรฐาน ผู้ประเมินจะส่งผลประเมินไปให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนการประเมินดังกล่าวสามารถอธิบายเป็นรูปแบบได้ดังภาพที่ 3
ภาพที่ 3 แสดงกระบวนการในการตัดสินใจการประเมินของโพรวัส
ที่มา : (สุนีย์ ภู่พันธ์, 2546, หน้า 275)
รูปแบบการประเมินผลหลักสูตรของโพรวัส นับว่าสะดวกแก่ผู้ประเมินหลายประเภทและเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารว่าจะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงบางส่วน หรือยกเลิกทั้งหมด หรือยังคงใช้หลักสูตรนั้นได้
รูปแบบการประเมินซิป (CIPP Model)
รูปแบบการประเมินซิปเป็นรูปแบบการประเมินที่พัฒนามาจากแนวความคิดของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) หลักสำคัญของการประเมินหลักสูตรตามรูปแบบนี้คือมุ่งประเมินสถานการณ์ต่างๆ ของหลักสูตร 4 ด้าน การประเมินซิปเป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ถือว่ามีความทันสมัยกว่ารูปแบบการประเมินอื่น เพราะเป็นกระบวนการในการหาข้อมูล การเก็บข้อมูล และใช้ข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนของหลักสูตร การประเมินจะพิจารณาใน 4 ด้าน คือ (วิชัย พรมาลัยรุ่งเรือง, 2544 ; อ้างอิงมาจาก Stufflebeam, 1968, p. 72)
1. การประเมินบริบท (context evaluation) คือการประเมินสภาพแวดล้อม แนวคิดปรัชญาการศึกษา วัฒนธรรม และความต้องการของคนในชุมชนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ผลที่ได้จะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน การวางนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและความต้องการของผู้เรียน
2. การประเมินปัจจัยเบื้องต้น (input evaluation) คือการประเมินปัจจัยเบื้องต้นว่าความพร้อมในด้านตัวผู้สอน งบประมาณ อาคารเรียน สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริหารหลักสูตร รวมทั้งการนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และประโยชน์ในการตัดสินใจว่าระบบและโครงสร้างต่างๆ ของหลักสูตรมีความเหมาะสมหรือไม่หรือมีวิธีการใดที่เหมาะสมกว่า
3. การประเมินกระบวนการ (process evaluation) คือการประเมินกระบวนการนำหลักสูตรไปใช้ในการเรียนการสอนและเนื้อหาวิชาภายในและภายนอกห้องเรียน เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจดำเนินการปฏิบัติตามวิธีการที่ได้กำหนดไว้
4. การประเมินผลผลิต (product evaluation) คือการประเมินผลจากการใช้หลักสูตรในวิธีการและแนวทางดำเนินการสอนตามที่ได้ตัดสินใจเพื่อตรวจหาข้อบกพร่องในการวางแผนการบริหารหลักสูตร และการนำหลักสูตรไปใช้ว่าควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเมื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแล้วต้องทำการประเมินในกระบวนการเช่นเดิมอีก เพื่อให้หลักสูตรบรรลุผลตามหลักการ จุดมุ่งหมาย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด จากแนวความคิดในการประเมินดังกล่าว กรอบความคิดของสตัฟเฟิลบีม สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ของการประเมินและตัดสินใจได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ของการตัดสินใจตามแนวความคิดของสตัฟเฟิลบีม
ความคาดหวัง ความเป็นจริง
เป้าหมาย การตัดสินใจในการวางแผนหรือตั้ง
จุดมุ่งหมาย
(ประเมินบริบท) (1)
การตัดสินใจในการออกแบบ การตัดสินใจในผลสำเร็จ
(ประเมินผลผลิต) (4)
การตัดสินใจในการใช้วิธีดำเนินการ
วิธีการ ดำเนินการหรือโครงสร้าง
(ประเมินปัจจัยเบื้องต้น) (2) (ประเมินกระบวนการ) (3)
จากตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ของการตัดสินใจตามแนวความคิดของสตัฟเฟิลบีม สรุปว่าการประเมินบริบทเพื่อการตัดสินใจในการวางแผนหรือตั้งจุดมุ่งหมาย การประเมินปัจจัยเบื้องต้นเพื่อการตัดสินใจในการออกแบบดำเนินการหรือโครงสร้าง การประเมินกระบวนการเพื่อการตัดสินใจในการใช้วิธีดำเนินการ การประเมินผลผลิตเพื่อการตัดสินใจในผลสำเร็จ
หลังจากทำการประเมินองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรแล้วจะทำให้ได้สิ่งต่อไปนี้ คือ 1) วัตถุประสงค์ของหลักสูตร 2) ปัจจัยหรือกิจกรรมที่ควรจัดเข้าไปในหลักสูตร 3) กิจกรรมหรือกระบวนการที่นำไปปฏิบัติ และ 4) ผลที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินการหลักสูตรตามแนวความคิดในการประเมินของสตัฟเฟิลบีม เพื่อให้การประเมินหลักสูตรมีความสมบูรณ์ควรดำเนินการประเมินเป็นขั้นตอนตามลำดับ คือการประเมินบริบทเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจเพื่อการวางแผนกำหนดวัตถุประสงค์ การประเมินปัจจัยเบื้องต้นเป็นการประเมินการใช้ทรัพยากรเพื่อ วิเคราะห์ทางเลือกสำหรับการวางแผนและการออกแบบการใช้หลักสูตร การประเมินกระบวนการเป็นการประเมินกระบวนการต่างๆ ของการใช้หลักสูตร สำหรับตัดสินใจว่าจะดำเนินการด้วยวิธีใด จะแก้ไขอย่างไรการประเมินผลผลิตเป็นการประเมินองค์ประกอบที่เป็นผลผลิตและผลกระทบของการใช้หลักสูตรว่าเกิดผลตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือไม่ และยังเป็นข้อมูลสำหรับการปรับปรุงหรือยกเลิกการใช้หลักสูตร กล่าวโดยสรุปรูปแบบการประเมินซิปเป็นการประเมินทั้งระบบหลักสูตรและประเมินอย่างต่อเนื่องตามขั้นตอน โดยมีจุดมุ่งหมายในการประเมินเพื่อพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรซึ่งต้องประเมินให้ครบวงจร ทั้งบริบทหรือสภาพแวดล้อมของหลักสูตร ปัจจัยที่ใช้ในการบริหารหลักสูตรและการเรียนการสอน กระบวนการบริหารหลักสูตร และผลผลิตของหลักสูตร
รูปแบบการประเมิน “CPO”
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2549, หน้า 306) กล่าวว่ารูปแบบการประเมิน “CPO” เป็นรูปแบบของการประเมินโครงการที่เกิดขึ้นในประเทศเทศไทยโดย รศ.ดร.เยาวดี รางชัยกุลวิบูลย์ศรีมีหลักการและเหตุผลสำคัญซึ่งพัฒนามาจากแนวคิดหลัก 4 ประการดังนี้ 1) แนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองทั้งทางตรงและทางอ้อม 2) แนวคิดเกี่ยวกับการให้ความสำคัญต่อผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3) แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินที่เป็นระบบอย่างครบวงจร และตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมในสังคมและ 4) แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินที่สอดคล้องกับบริบทซึ่งเป็นสภาวะแวดล้อมของโครงการ
รูปแบบการประเมิน CPO ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องตามลำดับคือ 1) ปัจจัยพื้นฐานด้านภาวะแวดล้อมของโครงการ (context) 2) กระบวนการปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการ (process) และ 3) ผลผลิตของโครงการ (outcome) มีรายละเอียดดังนี้
1. ปัจจัยพื้นฐานด้านสภาวะแวดล้อมของโครงการ (context) ปัจจัยทางด้านนี้หมายถึง “บริบท” ต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมด เช่น ปัจจัยทางการเมือง ทางสังคม ทางวัฒนธรรม รวมทั้งปัจจัยทางกายภาพ และทางด้านจิตใจ เป็นต้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินสภาวะแวดล้อมหรือบริบทต่างๆ ของโครงการนั้นว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไรโดยพิจารณาถึง
1.1 ความต้องการของโครงการ (need assessment) เพื่อให้ทราบถึงความจำเป็นหรือความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้เสียต่อโครงการ
1.2 ความเป็นไปได้ของโครงการ (feasibility) เพื่อให้ทราบถึงโอกาสในการจัดทำ
โครงการ
1.3 การกำหนดวัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงการ เพื่อระบุถึงสิ่งที่ต้องการจะให้เกิดขึ้นจากโครงการ
1.4 ความพร้อมและทรัพยากรในด้านต่างๆ เช่น เงินทุนหรืองบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ บุคลากร
2. กระบวนการปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการ คำว่ากระบวนการ หมายถึง ขั้นตอนหรือกรรมวิธีที่จะต้องปฏิบัติตามลำดับก่อนหลังอย่างเป็นระบบและครบวงจรในระหว่างดำเนินโครงการ กระบวนการดังกล่าวอาจแตกต่างกันไปตามเป้าหมายในเชิงปรัชญาของแต่ละโครงการ (เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี 2549, หน้า 310) เช่น โครงการทางธุรกิจเป้าหมายหลักก็คือการแสวงหากำไรจากการดำเนินธุรกิจนั้นๆ ให้ได้มากที่สุดส่วนโครงการทางการศึกษาของรัฐเป้ าหมายหลักคือการปลูกฝังความรู้ให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งเด็ก เยาวชนและบุคคลทั่วไป โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว โครงการประเภทนี้จะไม่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุดเป็นหลัก สำหรับการประเมินโครงการโดยทั่วไปมีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษคือ ความสอดคล้องของกิจกรรมและช่วงเวลาโดยพิจารณา
2.1 กิจกรรม (activity) เพื่อให้ทราบว่ากิจกรรมนั้นๆมีความสอดคล้องหรือตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ และมีการจัดลำดับที่เหมาะสมต่อเนื่องกันมากน้อยเพียงใด
2.2 ช่วงเวลา (timing) เพื่อให้ทราบว่าช่วงเวลาที่จะให้ดำเนินโครงการทางด้านกิจกรรมนั้นๆ มีความเหมาะสมเพียงไร มีข้อจำกัดประการใด และช่วงเวลาที่กำหนดไว้นั้นสามารถจะปรับเปลี่ยนไปจากเดิมได้ตามความจำเป็นหรือไม่และเพราะเหตุใด
3. ผลผลิตของโครงการ (outcome) คำว่าผลผลิตนั้นนักประเมินบางท่านใช้คำว่าผลิตผล (product) ซึ่งหมายถึงผลที่ได้รับจากการกระทำใดๆ แต่บางท่านใช้คำว่าผลลัพธ์ (output) ซึ่งหมายถึงผลงานหรือสิ่งที่ปรากฏออกมาภายหลัง ดังนั้น คำว่า ผลผลิตที่ใช้ในที่นี้มีความหมายครอบคลุมคำศัพท์ทั้ง 3 คำคือผลิตผล ผลลัพธ์ และผลผลิต ด้วยเหตุนี้คำว่าผลผลิตของโครงการจึงหมายถึงผลงานหรือผลที่ได้รับจากการกระทำกิจกรรมใดๆ ของแต่ละโครงการโดยสามารถแบ่งผลงานดังกล่าวเป็น 3 ประเภทคือผลรวม (overall) ผลกระทบ (impact) และคุณค่าหรือประโยชน์ (utility) ตามลำดับดังนั้นการประเมินโครงการใดๆ ก็ตามจึงเป็นการประเมินเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโครงการนั้นๆ โดยพิจารณาถึง
3.1 ผลรวม เพื่อให้ทราบถึงผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากกิจกรรมของโครงการ ทั้งโดย
ทางตรงและทางอ้อม
3.2 ผลกระทบ เพื่อให้ทราบถึงผลที่ตามมาจากการดำเนินโครงการนั้นๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งจากที่คาดหวังไว้และมิได้คาดหวังไว้ด้วย
3.3 คุณค่าหรือประโยชน์ เพื่อให้ทราบถึงคุณค่าหรือความสำคัญของผลที่ได้จากการประเมิน ทั้งนี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจหรือเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมต่อไป
จากแบบจำลองการประเมินโครงการจะเห็นว่ามีลักษณะปิรามิดหัวกลับ (inverted pyramid) และมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ context (C) process (P) outcome (O) โดยองค์ประกอบแต่ละส่วนดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องในลักษณะของการสื่อสารแบบสองทางอย่างครบวงจร แบบจำลองดังกล่าวจึงได้ชื่อว่า “CPO” (CPO’S evaluation model) คุณลักษณะสำคัญของรูปแบบการประเมิน CPO เน้นการประเมินด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่การประเมินปัจจัยพื้นฐานด้านสภาวะแวดล้อมอย่างละเอียด ตามด้วยการประเมิน
กระบวนการปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการ และผลผลิตของโครงการตามลำดับจึงนับว่าเป็นรูปแบบการประเมินที่ครบวงจรจากการศึกษารูปแบบการประเมินหลักสูตร จำแนกได้เป็น 3 ลักษณะคือ รูปแบบที่ยึดจุดมุ่งหมายเป็นหลัก (goal attainment model) รูปแบบที่ช่วยการตัดสินใจ (decission model) และรูปแบบที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก (criterion model) เมื่อพิจารณาในประเด็นจุดมุ่งหมาย/โครงสร้าง/ขั้นตอน/ผลการประเมินสรุปได้ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แสดงการสรุปรูปแบบการประเมินหลักสูตร/โครงการ
รูปแบบของ จุดมุ่งหมาย/โครงสร้าง ขั้นตอน/ผลการประเมิน
1.1 ไทเลอร์ จุดมุ่งหมาย เพื่อพิจารณาผู้เรียนว่ามี
ความก้าวหน้าตามจุดมุ่งหมายที่กำหนด
ไว้หรือไม่ ขั้นตอนการดำเนินการตามโครงสร้างการประเมินคือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายกว้าง/เฉพาะ
เชิงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้
โครงสร้างการประเมิน ศึกษา 3
องค์ประกอบคือ
1. จุดมุ่งหมาย
2. การจัดประสบการณ์เรียนรู้
3. การประเมินผล 2. จัดประสบการณ์เรียนรู้รวบรวมข้อมูล
3. เปรียบเทียบข้อมูลกับจุดมุ่งหมาย
ผลการประเมิน
- หากไม่บรรลุตามจุดมุ่งหมายนำสู่การตัดสินใจปรับปรุงหลักสูตร
- หากบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตร
1.2 แฮมมอนต์ จุดมุ่งหมาย เพื่อตรวจสอบว่าการ
ปรับปรุงหลักสูตรมีประสิทธิภาพบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่
โครงสร้างการประเมิน ประกอบด้วย 3 มิติคือ
1. มิติด้านการเรียนการสอน
2. มิติด้านสถาบัน
3. มิติด้านพฤติกรรม ขั้นตอน จะประเมินในส่วนย่อย ๆ
ของหลักสูตรที่ยังดำเนินการอยู่ ดังนี้
1. นิยามส่วนย่อยๆ ของตัวแปรที่ประเมิน
2. กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
3. ประเมินพฤติกรรมที่ระบุไว้ในจุดประสงค์
ผลการประเมิน ตัดสินใจใช้ต่อหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผู้ประเมิน คือ ครู ผู้บริหาร และชุมชน
รูปแบบของ จุดมุ่งหมาย/โครงสร้าง ขั้นตอน/ผลการประเมิน
2.1 โพรวัส จุดมุ่งหมาย เพื่อช่วยตัดสินใจว่า
หลักสูตรที่ดำเนินการใช้อยู่ควร
ปรับปรุง ใช้ต่อ หรือยกเลิก ขั้นตอน การประเมิน 5 ขั้นตอนคือ
1. นิยามรายละเอียดย่อย ๆ ของหลักสูตรขณะดำเนินการใช้เกี่ยวกับ วัตถุประสงค์ ผู้สอน ผู้เรียนสิ่งอำนวยความสะดวกกิจกรรม นำทั้ง 3 ส่วนเทียบกับเกณฑ์
2. เริ่มใช้หลักสูตร (เปรียบเทียบ คาดหมายกับที่เป็นจริง)
3. ประเมินกระบวนการ หาคำตอบว่าบรรลุวัตถุประสงค์ย่อยๆ ที่นำไปสู่วัตถุประสงค์หลักมากน้อยเพียงใด
หลักมากน้อยเพียงใด
4. ประเมินผลผลิต บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่
5. วิเคราะห์ค่าใช้จ่าย ได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
ผลการประเมิน เปรียบเทียบสิ่งที่เป็นจริงในหลักสูตรกับสิ่งที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานสอดคล้องกันหรือไม่
- ไม่สอดคล้อง เป็นข้อมูลในการตัดสินใจปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ล้มเลิก
รูปแบบของ จุดมุ่งหมาย/โครงสร้าง ขั้นตอน/ผลการประเมิน
2.2 สตัฟเฟิลบีม จุดมุ่งหมาย เป็นรูปแบบการประเมินเพื่อการตัดสินใจ เกี่ยวกับการวางแผนการดำเนินการ และตัดสินใจเมื่อสิ้นสุดโครงการ ขั้นตอน ประเมินองค์ประกอบหลักสูตร 4 ด้าน คือ บริบท ปัจจัย เบื้องต้นกระบวนการ และผลผลิต
1. ประเมินบริบท สู่การตัดสินใจเลือกวัตถุประสงค์
2. ประเมินปัจจัยเบื้องต้น สู่การตัดสินใจออกแบบหลักสูตร
3. ประเมินกระบวนการ สู่การตัดสินใจการใช้หลักสูตร
4. ประเมินผลผลิต สู่การตัดสินใจที่จะใช้หลักสูตรต่อไป ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการใช้หลักสูตร
3.1 สเตก จุดมุ่งหมาย เป็นรูปแบบการประเมิน
หลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลักจึงสนใจแหล่งที่จะได้มาของข้อมูล แล้วนำข้อมูลเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด
หลักการ
- ถ้าประเมินผลผลิตของหลักสูตร ต้อง
อาศัยเกณฑ์ภายนอกของระบบหลักสูตร
- ถ้าเป็นการประเมินการเรียนการสอน
หรือเนื้อหาวิชา ต้องอาศัยเกณฑ์ภายใน
ของระบบหลักสูตร
โดยพิจารณาว่า สิ่งที่ต้องการประเมินมี
คุณค่าถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือไม่ ขั้นตอน ประเมินองค์ประกอบ
หลักสูตร 3 องค์ประกอบคือ
1. ประเมินสิ่งที่มีอยู่ก่อนการดำเนินการใช้หลักสูตร
2. ประเมินปฏิบัติการของครู
ผู้เรียน ผู้ปกครองและระบบการให้
การศึกษา
3. ประเมินผลลัพธ์หรือความสามารถด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน รวมถึงผลกระทบ
รูปแบบของ
จุดมุ่งหมาย/โครงสร้าง
ขั้นตอน/ผลการประเมิน
3.2 สคริฟเวน จุดมุ่งหมาย เป็นรูปแบบการ
ประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก เพื่อตัดสินคุณค่า ขั้นตอน แนวทางการประเมิน 4 ลักษณะ
1. ประเมินความก้าวหน้า ระหว่างดำเนินหลักสูตร เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
2. ประเมินผลสรุป เมื่อสิ้นสุดกระบวนการใช้หลักสูตร เพื่อตัดสินคุณค่าของหลักสูตร หาจุดเด่น-จุดด้อย
3. ประเมินคุณค่าภายใน ประเมินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ภายในตัวของมันเอง เช่น เนื้อหา จุดมุ่งหมาย การวัดผล เป็นต้น
4. ประเมินคุณค่าปฏิบัติการ ประเมินผลที่เกิดจากการดำเนินการที่มีต่อผู้เรียน ผู้สอน ผู้ปกครอง
เยาวดี
รางชัยกุล
วิบูลย์ศรี จุดมุ่งหมาย รูปแบบ CPO เป็น
รูปแบบการประเมินเพื่อตัดสิน
คุณค่าของสิ่งที่ประเมิน ตัดสิน
ความสำเร็จและการแก้ไข
ปรับปรุง พัฒนา ขั้นตอน ประกอบด้วยการประเมินส่วน
สำคัญ 3 ส่วนที่ต่อเนื่องกันคือ
1. ปัจจัยพื้นฐานด้านสภาวะแวดล้อมของโครงการ โดยคำนึงถึงความต้องการความเป็นไปได้ วัตถุประสงค์และทรัพยากรในการดำเนินโครงการ
2. กระบวนการปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการ ที่สอดคล้องของกิจกรรมและช่วงเวลา
3. ผลผลิตของโครงการ ได้แก่ ผลรวม ผลกระทบ คุณค่าหรือประโยชน์ที่เกิดขึ้น จากการดำเนินโครงการ
ประโยชน์ของการประเมินหลักสูตร
สุนีย์ ภู่พันธุ์ (2546, หน้า 257) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เราทราบถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของหลักสูตร การประเมินผลมีประโยชน์ในการจัดการศึกษาและการจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรต้องอาศัยผลจากการประเมินผลเป็นสำคัญ ประโยชน์ของการประเมินหลักสูตรมีดังนี้
1. ทำให้ทราบว่าหลักสูตรที่สร้างหรือพัฒนาขึ้นนั้นมีจุดดีหรือจุดเสียตรงไหน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนปรับปรุงได้ถูกจุด ส่งผลให้หลักสูตรมีคุณภาพดียิ่งขึ้น
2. สร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจ และค่านิยมที่มีต่อโรงเรียนให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน
3. ช่วยในการบริหารทางด้านวิชาการ ผู้บริหารจะได้รู้ว่าควรจะตัดสินใจและสนับสนุนช่วยเหลือหรือบริการทางใดบ้าง
4. ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจในความสำคัญของการศึกษา
5. ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรงเรียนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การเรียนการสอนนักเรียนได้ผลดี ด้วยความร่วมมือกันทั้งทางโรงเรียนและทางบ้าน
6. ให้ผู้ปกครองทราบความเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาทางส่งเสริมและปรับปรุงแก้ไขร่วมกันระหว่างผู้ปกครองนักเรียนกับทางโรงเรียน
7. ช่วยให้การประเมินผลเป็นระบบระเบียบ เพราะมีเครื่องมือและหลักเกณฑ์ทำให้เป็นเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
8. ช่วยชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของหลักสูตร ช่วยให้สามารถวางแผนการเรียนในอนาคตได้ข้อมูลของการประเมินผลหลักสูตรทำให้ทราบเป้าหมายแนวทาง และขอบเขตในการดำเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียน
จากแนวคิดดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตรทำให้ทราบว่าหลักสูตรที่สร้างขึ้นนั้นมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร สามารถนำข้อมูลที่ได้จากการประเมินไปพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพต่อไป
เอกสารอ้างอิง
วิชัย พรมาลัยรุ่งเรือง. (2544). การประเมินหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาช่างเคหภัณฑ์ พุทธศักราช 2535 สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). การประเมินหลักสูตร. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ศิริชัย กาญจนวาสี. (2550). ทฤษฎีการประเมิน. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมคิด พรมจุ้ย. (2544). เทคนิคการประเมินโครงการ. พิมพ์ครั้งที่ 3. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
สุนีย์ ไพรี. (2548). การประเมินหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ช่วงชั้นที่ 3 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลพบุรี เขต 2. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน: มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี.
สุวิมล ติรกานันท์. (2548). การประเมินโครงการ : แนวทางสู่การปฏิบัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
องอาจ นัยพัฒน์. (22(64) พฤษภาคม – สิงหาคม 2543). การวิจัยเชิงปฏิบัติการ : แนวคิดและวิธีการ. วารสารวัดผลการศึกษา , หน้า 23-40.
อาภาภรณ์ รักความสุข. (2546). การประเมินหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพการศึกษาชั้นสูงพุทธศักราช 2540 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ. วิทยานิพนธ์คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอนอาชีวศึกษา: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง.
HYPERLINK "https://www.l3nr.org/posts/413485" https://www.l3nr.org/posts/413485 สืบค้นวันที่ 26 ตุลาคม 2557
http://wichudatomtam.blogspot.com/2013/03/blog-post_1520.html สืบค้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2557
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น